วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Deliberate Software Attacks


 การโจมตีซอฟต์แวร์ (Deliberate Software Attacks)  เกิดขึ้นโดยการออกแบบซอฟต์แวร์ให้โจมตีระบบจากคนๆ เดียวหรือจากกลุ่มคนมีซอฟต์แวร์ที่ก่อความเสียหาย ทำลาย หรือ ปฏิเสธการบริการของระบบเป้าหมาย ซอพต์แวร์ที่ได้รับความนิยมคือ Malicious Codeหรือ Malicious Software มักจะเรียกว่า มัลแวร์ (Malware) มีมากมาย อาทิ ไวรัส (Viruses) เวิร์ม (Worms) ม้าโทรจัน (Trojan Horses) Logic bombs และ ประตูหลัง (Back doors)
มัลแวร์ (Malware) มาจากคำว่า Malicious Software แปลตามตัวได้ว่า "ซอฟต์แวร์ประสงค์ร้าย" กล่าวคือ เป็นซอฟต์แวร์ใดๆก็ตามที่พยายามเชื่อมต่อเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าไปใช้สิทธิ์โดยปราศจากการขออนุญาต และทำให้เกิดผลเสียหายตามมา เช่นทำลายข้อมูล ขโมยข้อมูล หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกคุกคามนี้ทำงานตามความต้องการ เป็นต้น มัลแวร์ถูกแบ่งได้หลายประเภทขึ้นอยู่ลักษณะการทำงานและอันตรายที่เกิดขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างดังต่อไปนี้

1.Virus (ไวรัส) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้สามารถแพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หนึ่งไปยังไฟล์อื่นๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยปกติแล้วไวรัสคอมพิวเตอร์ไม่สามารถแพร่กระจายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องอาศัย "ไฟล์พาหะ หรือ host file" เป็นไฟล์ที่ถูกไวรัสคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่ 
2.Worm (หนอน) เป็นสิ่งมีชีวิตในโลกไซเบอร์ที่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันเป็นอย่างมาก หนอนอินเทอร์เน็ตเป็นโปรแกรมเล็กๆที่มีความสามารถที่จะแพร่กระจายในะระบบเครือข่ายได้ด้วยตัวมันเอง 

3. Trojan horse (ม้าโทรจัน) หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกบรรจุเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อลอบเก็ข้อมูลของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น เช่น ข้อมูลชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน เลขที่บัญชีธนาคาร หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แฮกเกอร์จะส่งโปรแกรมเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อดักจับข้อมูลดังกล่าว แล้วนำไปใช้ในการเจาะระบบ และเพื่อโจมตีคอมพิวเตอร์
4.Back Door or Trap Door (ประตูหลัง)ในทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง รูรั่วของระบบรักษาความมั่นคงที่ผู้ออกแบบหรือผู้ดูแลจงใจทิ้งไว้ โดยเป็นกลไกลลับทางซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้ข้ามผ่านการควบคุมความมั่นคง เพื่อเปิดทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้ามาในระบบและก่อความเสียหายได้
5.Polymorphism เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาให้มีความยากในการตรวจจับ อาจจะใช้เวลาหลายวันในการสร้างโปรแกรมตรวจจับ เพื่อจัดการกับ polymorphism เพราะมันใช้เทคนิคการซ่อนลักษณะเฉพาะที่สำคัญ (signatures) ไม่ให้คงรูปเดิม เพื่อหลีกจากการตรวจจับของโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
6.Virus and Worm Hoaxes (ไวรัสและหนอน) เป็นรูปแบบของการหลอกลวงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เสียเงินเสียเวลาในการวิเคราะห์ โดยไวรัสหลอกลวงจะมาในรูปจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เตือนให้ระวังอันตรายจากไวรัส ด้วยการอ้างแหล่งข้อมูลเป็นรายงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้รับส่งต่อจดหมายเตือนฉบับนั้นต่อๆไปอีกหลายๆทอด

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ครีเอฟทีฟคอมมอนส์

1.Creative Commons เป็นชื่อเรียกองค์กร จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับระบบหรือวิธีการหรือเงื่อนไขการใช้ข้อมูลโดยไม่ถูกจำกัดจากสัญญาอนุญาต โดยจะแบ่งสัญญาอนุญาตออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อการนำไปใช้ภายใต้หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ทำการกำหนดขึ้นมา จึงทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถให้สิทธิบางส่วนแก่ผู้ใช้งาน (แต่ยังคงสิทธิบางส่วน) ปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมถึง ๕๑ ประเทศ 


2.สำหรับสัญญาครีเอฟทีฟคอมมอนส์ในภาษาไทย จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือของ สำนักกฎหมายธรรมนิติ สถาบัน ChangeFusion และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยรองรับตามหลักเกณฑ์ครีเอทีฟคอมมอนส์ รุ่น 3.0 และปรับให้เข้ากับกฎหมายลิขสิทธิ์ไทย จึงสามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมายไทย ประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552 เป็นลำดับที่ 51 ของโลก

3.

สัญลักษณ์แสดงสัญญาครีเอทีฟคอมมอนส์ มีดังนี้ 
CC BY 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่น แจกจ่าย แก้ไข ดัดแปลง ผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ กระทั่งการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับ
CC BY SA 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่น แจกจ่าย แก้ไข ดัดแปลง ผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ กระทั่งการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับและใช้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในแบบเดียวกันกับผู้สร้างสรรค์ ในผลงานที่เขาสร้างสรรค์ต่อจากงานสร้างสรรค์นี้
CC BY ND 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่น แจกจ่าย ผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ กระทั่งการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับและไม่ดัดแปลงแก้ไขผลงานดังกล่าว
CC BY NC 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่น แจกจ่าย แก้ไข ดัดแปลง ผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับและไม่นำผลงานไปใช้ในเชิงพาณิชย์
CC BY NC SA 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่น แจกจ่าย แก้ไขดัดแปลง ผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับและไม่นำผลงานไปใช้ในเชิงพาณิชย์และใช้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในแบบเดียวกันกับผู้สร้างสรรค์ ในผลงานที่เขาสร้างสรรค์ต่อจากงานสร้างสรรค์นี้
CC BY NC ND 
สัญลักษณ์นี้หมายความว่า อนุญาตให้บุคคลอื่นแจกจ่ายผลงานของผู้สร้างสรรค์ได้ ตราบเท่าที่ยังให้เครดิตแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้นฉบับและห้ามดัดแปลงแก้ไขผลงาน รวมทั้งไม่นำผลงานไปใช้ในเชิงพาณิชย์
ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์ประสงค์เผยแพร่ผลงานให้คนอื่นสามารถนำไปใช้ได้เลย โดยไม่มีเงื่อนไข สามารถทำได้โดยอนุญาตแบบ public domain 

4. การสร้างไฟล์รูปภาพ Creative Commons 

1. คลิกเรียกใช้งานโปรแกรม โฟโต้สเคป (PhotoScape) จากนั้นจึงคลิกไอคอน แก้ไขภาพเป็นกลุ่ม

   หากท่านยังไม่มีโปรแกรมนี้สามารถคลิก ดาวน์โหลดโปรแกรม PhotoScape


2. เมื่อคลิกเลือกไอคอน แก้ไขรูปภาพเป็นกุล่ม โปรแกรมจะแสดงเครื่องมือการใช้งานในหน้าต่างใหม่ ดังรูป


3. ค้นหาโฟลเดอร์ที่เราเก็บภาพของเราที่ต้องการนำมาทำเป็น Photo Gallery ในกรอบสีแดง
จากนั้นคลิกเราคลิกเลือกโฟลเดอร์นั้น รูปและไฟล์ต่างๆ ที่อยู่ในโฟลเดอร์นั้นจะแสดงในช่องกรอบสีเขียว ดังรูป


4. รูปที่เราเลือกมาจะแสดงเป็นรายการโดยจะแสดงชื่อของไฟล์ในช่องกรอบสีแดงดังรูป เราสามารถคลิกเลือกรูปที่ไม่ต้องการแล้วกดปุ่ม delete บนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อลบไฟล์รูปนั้นออกได้

5. ลำดับต่อไปเราจะมาเลือกรูปแบบของกรอบรูปภาพของเรากัน ซึ่งโปรแกรมนี้ก็จะมีให้เราเลือกอยู่หลายแบบด้วยกัน หากไม่ต้องการให้มีกรอบก็เลือก ไม่มีกรอบ


 6.การกำหนดชื่อ เราสามารถตั้งชื่อไฟล์ใหม่ที่จะแปลงได้ โดยสามารถเลือกรูปแบบของชื่อไฟล์ที่ต้องการได้ในกรอบสีแดง

5 ปริ๊นสกรีน สัญลักษณ์ Creative Commons
เป็นเว็บโรงเรียนต่างๆที่มาอยู่รวมกันโดยที่เราไม่ต้องไปกดค้นหาหลายครั้ง เว็บนี้จะรวมเกือบทุกโรงเรียนไว้






วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

  ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคืออินเทอร์เน็ต


         ตัวอย่างอุปกรณ์ในเครือข่าย

1.สายสัญญาณ เป็นสายสำหรับเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆในระบบเข้าด้วยกัน หากเป็นระบบที่มีจำนวนเครื่องมากกว่า 2 เครื่องก็จะต้องต่อผ่านฮับอีกทีหนึ่ง โดยสายสัญญาณสำหรับเชื่อมต่อเครื่องในระบบเครือข่าย จะมีอยู่ 2 ประเภท

2.การ์ดเครือข่าย (Network  Adapter) หรือ การ์ด LAN เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่า

3.เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์หน้าที่หลักคือช่วยให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์  2 เครือข่ายหรือมากกว่า ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน

          ตัวอย่างซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย

วินโดวส์ 2000 (อังกฤษ: Windows 2000) เป็นระบบปฏิบัติการมาจากสายผลิตภัณฑ์วินโดวส์เอ็นทีโดยออกแบบสำหรับธุรกิจ ซึ่งเป็นรุ่นต่อจากวินโดวส์เอ็นที 4.0 ซึ่งได้ออกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) จากนั้นวินโดวส์เอกซ์พี ได้รับช่วงต่อในปี พ.ศ. 2544 และวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003 ในปี พ.ศ. 2546


1. เครือข่ายแบบบัส (bus topology) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล


2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิลยาวเส้นเดียว ในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูล มันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป

3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว(Star Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น จุดศูนย์กลาง ของเครือข่าย โดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลางการติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ ด้วยการ ติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลางการทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ








วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ซอฟแวร์

            ซอฟแวร์(software)คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่ง(instruction)ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆเพื่อให้ทำงานตามคำสั่งของผู้ใช้

           แบ่งเป็น2ประเภทใหญ่ๆคือ    1.ซอฟแวร์ระบบ(system software)หมายถึงชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆและทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์    2.ซอฟแวร์ประยุกต์(application software)หมายถึง ชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง ซอฟแวร์ประยุกต์อาจเขียนขึ้นโดยใช้โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ เช่น เบสิก(Basic) ปาสคาล(Pascal) โคบอล(Cobol) ซี(C) ซีพลัสพลัส(C++) และจาวา(Java)


             ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
1.ระบบปฏิบัติการ ios 4.2


2.ระบบปฏิบัติการ Symbian

3.ระบบปฏิบัติการ Windows

4.ระบบปฏิบัติการ android



               ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ  “Camera360 เป็นแอพถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมอย่างสูงบนระบบ Android และ iOS ได้ประกาศความสำเร็จในการระดมทุนในรอบ Series B ซึ่งเป็นผลให้ทาง Camera360 นั้นมีเงินทุนแตะหลัก 18 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว โดยในการระดมทุนรอบใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากกลุ่มบริษัท SIG (Susquehanna International Group) ของประเทศจีน และความร่วมมือจากผู้ลงทุนรายเดิมอย่าง Gobi Partners และ Matrix Partners”  ปัจจุบันแอพ Camera360 และแอพอื่นๆของ Chengdu Pinguo Technology Co., Ltd มีผู้ใช้งานทั้งหมดถึง 150 ล้านคนทั่วโลก และตอนนี้บริษัท Chengdu Pinguo Technology Co., Ltd มีแอพที่เปิดให้บริการทั้งหมด 9 แอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่นล่าสุดที่เพิ่งมีการเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ ได้แก่แอพ Audio Camera ซึ่งสามารถบันทึกเสียงสั้นๆ ความยาว 5 วินาทีก่อนที่จะทำการถ่ายรูปได้อีกด้วย

         
            หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีและสารสนเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 กลุ่มการสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ               และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ



            1.สารสนเทศ(information) หมายถึง ผลลัพธ์ที่ได้จากการนำข้อมูลมาประมวลผล เพื่อให้ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ในการนำไปใช้งานมากขึ้น เช่น ส่วนสูงของนักเรียนหญิงและนักเรียนชายแต่ละคนในชั้นเรียนเป็นข้อมูล จะสามารถสร้างสารสนเทศจากข้อมูลเหล่านี้ได้หลายแบบ เพื่อนำไปใช้ในจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การนำข้อมูลเหล่านี้มาเรียงตามลำดับจากมากไปน้อย หรือการหาค่าเฉลี่ยของส่วนสูงของนักเรียน

            2.ข้อมูล คือ สิ่งที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของวัตถุ เหตุการณ์ กิจกรรม โดยบันทึกจากการสังเกต การทดลอง หรือการสำรวจด้วยการแทนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น บันทึกไว้เป็นตัวเลข ข้อความ รูปภาพ และสัญลักษณ์
 
           3.ข้อมูลกับสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไร แตกต่างกันตรงที่ ข้อมูลเป็นเพียงแค่สิ่งที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของวัตถุและสิ่งต่างๆ ส่วนสารสนเทศคือผลลัพธ์ที่ได้จากการนำมาประมวลผล


ที่มา:หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาที่4-6

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

6 วิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย ได้ของดีมีคุณภาพ

เมื่อพูดถึงเครื่องสำอาง คุณจะนึกถึงผลิตภัณฑ์อะไรกันบ้าง?? ครีม / โลชั่นบำรุงผิว น้ำหอม โคโลญจน์ เมคอัพแต่งหน้าต่างๆ น้ำยาทาเล็บ/ล้างเล็บ ผลิตภัณฑ์แต่งผม ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย สบู่ แชมพู ครีมนวดผม ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก…ไปจนถึงผ้าอนามัย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็ก ผู้ใหญ่ไปจนถึงวัยชรา ต่างก็ต้องใช้เครื่องสำอางอยู่ทุกวัน และยิ่งสมัยนี้ เครื่องสำอางนวัตกรรมใหม่มีมากมาย ดังนั้น เราก็ควรจะรู้ถึงวิธีการเลือกเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย เพื่อให้สามารถเลือกซื้อ-เลือกใช้ได้อย่างไร้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและยาว ที่อาจจะเกิดกับใบหน้าและผิวของเรา ดังนั้น เราจึงได้นำวิธีการง่ายๆในการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัยมาฝาก ที่มีวิธีการเลือกซื้อเลือกใช้ดังนี้ค่ะ
การเลือกเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย

วิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย

1. ก่อนอื่นเลยต้องดูว่าเป็นเครื่องสำอางเถื่อนมั๊ย ดูจากเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ปัจจุบันนี้ เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานควรได้การรับรองคุณภาพจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้นเวลาซื้อควรดูเครื่องหมาย อย.บนฉลากซะก่อน ถ้าไม่มีอย่าซื้อเด็ดขาด เพราะเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจเป็นเครื่องสำอางเถื่อน และผสมสารต้องห้ามที่มีพิษต่อร่างกาย คงไม่คุ้มกันแน่…กับปัญหาหน้าพัง!! ถ้าคิดจะซื้อมาใช้
2. ให้ดูวันหมดอายุ ส่วนผสม ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า
เริ่มดูจากวันหมดอายุและวันผลิตที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยทั่วไปเครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิตนานถึง 3-5 ปีเชียวล่ะ แต่นั่นคืออายุของประสิทธิภาพเครื่องสำอางขณะที่คุณยังไม่เปิดใช้ แต่ถ้าหากเปิดใช้แล้วมันก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานน้อยลง (ดูเพิ่มเติมที่: อายุเครื่องสำอางแต่ละชนิดที่เปิดใช้แล้ว) ดังนั้น เราควรเขียนวัน/เดือน/ปี ที่เราเปิดใช้ครั้งแรกเอาไว้ที่เครื่องสำอาง เพื่อจะได้เตือนความจำ และเช็คอายุเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น
จากนั้นก็มาดูส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าในเครื่องสำอางที่เรากำลังจะควักเงินซื้อนั้น มีส่วนผสมที่เราแพ้หรือไม่ เช่น บางคนอาจแพ้เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า เป็นอีกส่วนที่ควรใส่ใจ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบของเจ้าของผลิตภัณฑ์ ในกรณีที่มีปัญหาในการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือเกิดอันตรายจากเครื่องสำอางนั้น จะได้โทรไปสอบถามหรือร้องเรียนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้
3. ต้องให้ความสำคัญกับการอ่านฉลากวิธีใช้
- ต้องศึกษาวิธีใช้อย่างละเอียด เพื่อที่จะได้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และปลอดภัย ว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้ถูกต้อง เช่น ครีมบำรุงผิวหน้าบางชนิดต้องใช้ทาก่อนนอน เพื่อมิให้ถูกแสงแดด เพราะแสงแดดอาจกระตุ้นให้เกิดอาการข้างเคียง ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น หากไม่ศึกษาวิธีใช้ให้ถี่ถ้วน ทาครีมนี้ตามความพอใจ หากทาตอนกลางวันแล้วถูกแสงแดด ก็อาจจะกลับกลายเป็นผลเสีย เพราะใช้ไม่ถูกวิธีนั่นเอง
- สำหรับคนที่แพ้ง่าย แนะนำว่า ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเครื่องสำอางหลายยี่ห้อจากต่างประเทศ จะมีระบุชัดอยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า “Alcohol Free” แปลว่าในเครื่องสำอางชิ้นนั้นปราศจากแอลกอฮฮล์ แต่เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีแจ้งแบบนี้
4. ระมัดระวังข้อควรระวังหรือคำเตือนบนฉลาก
- เครื่องสำอางบางชนิดจะต้องแสดงคำเตือนที่ฉลากด้วย แสดงว่าต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น ควรศึกษาคำเตือน ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- เครื่องสำอางบาง ประเภทมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย หากผู้บริโภคใช้ไม่ถูกวิธี กฎหมายจึงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดกว่าเครื่องสำอางทั่วไปคือ จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมพิเศษ และเครื่องสำอางควบคุม โดยจะต้องมีข้อความแสดงประเภท ของเครื่องสำอางที่ฉลากอย่างชัดเจน ผู้บริโภคควรใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
5. ทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนตัดสินใจซื้อ มีเครื่องสำอางหลายประเภทที่แม้จะเป็นยี่ห้อดียี่ห้อดัง มีตรารับรองมาตรฐาน ก็อาจไม่ถูกกับผิวของคุณได้ เพราะผิวของแต่ละคนก็แพ้เครื่องสำอางแตกต่างกัน ดังนั้น คุณจึงควรทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากการดูที่ส่วนผสมแล้ว คุณควรทดสอบการแพ้เครื่องสำอางด้วยตัวเองด้วยวิธีง่ายๆและเป็นวิธีที่ถูกต้องคือ ให้นำเครื่องสำอางที่ต้องการจะซื้อ มาป้าย ฉีด ยา หรือทา ลงบริเวณผิวเนื้ออ่อนๆ อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน อย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลา 20 – 30 นาที ถ้าหากเกิดอาการแพ้ ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีปฏิกิริยา เช่น เกิดรอยแดง ผื่น หรือรู้สึกระคายเคือง ดังนั้น หากจะเทสต์จริงๆ ไปขอเทสต์ก่อน (เพื่อทิ้งระยะให้สารเคมีทำปฏิกิริยาสักนิด) จากนั้นไปเดินดูของอื่นๆ จนจะกลับ หากผิวไม่แพ้จึงค่อยกลับไปซื้อค่ะ
วิธีเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย
6. ซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งขายที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นที่เคาน์เตอร์ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าต่างๆ รวมถึงตลาดนัด ในปัจจุบันเรายังพบช่องทางการขายเครื่องสำอางออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม ในความหลากหลายของแหล่งซื้อขายนี้ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี คุณก็ควรพิจารณาแหล่งซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือ มีสถานที่ตั้งและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีบริการที่ดีทั้งในระหว่างการขายและหลังการขาย และแน่นอนว่าต้องขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้ และเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นั้นๆ อย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีพิจารณาต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราห่างไกลจากโอกาสเสี่ยงที่เราจะเจอผลิตภัณฑ์ปลอม ไม่ได้มาตรฐาน เกิดการแพ้ และไม่สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้ขายได้
นอกจากนี้ สาวๆควรรู้จักกับความหมายของเครื่องสำอางตามกฏหมายก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพื่อที่จะได้ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง พวกเครื่องสำอางเถื่อนและปลอมทั้งหลาย ดังนี้คือ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 โดยมีคำจำกัดความ ตามกฎหมายว่า หมายถึง วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่ง ส่วนใดของร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทิ่นผิวต่างๆ แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัวซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย”
พอจะสรุปอย่างง่ายๆ ได้ว่า
“เครื่องสำอางต้องเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์ เพื่อความสะอาด และความสวยงาม เท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินกว่านี้ เช่น อ้างว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้าง หรือการกระทำหน้าที่ต่างๆของร่างกายอันเป็น สรรพคุณทางยา ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องจัดเป็นยา ไม่ใช่เครื่องสำอาง”
ตัวอย่างเช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาและปฎิบัติตามพระราชบัญญัติยาฯที่มีความเข้มงวดกว่าพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง ฯค่ะ
สำหรับวิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัยที่ได้แนะนำไว้ข้างต้นนี้ ยังไงสาวๆก็อย่าลืม ลองนำไปทำตามนะค่ะ รับรองว่า…เพียงเท่านี้สาวๆ ก็สามารถหาซื้อและใช้เครื่องสำอางได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัยแล้วล่ะ
ที่มา:http://bkkseek.com/6-