วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยีเว็บ

เทคโนโลยีเว็บ



การนำเสนอข้อมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในช่วงปลายปี 1989 โดยทีมงานจากห้องปฏิบัติการทางจุลภาคฟิสิกส์แห่งยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือที่รู้จักกันในนาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทีมงานได้คิดค้นวิธีการถ่ายทอดเอกสารข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบ HyperText ไปยังระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผลที่ได้คือ โปรโตคอล HTTP (HyperText Transport Protocol) และภาษาที่ใช้สนับสนุนการเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ (Web Document) จากเครื่องแม่ข่าย (Server) ไปยังสถานที่ต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML (HyperText Markup Language)

ด้วยเทคโนโลยี HTTP และ HTML ทำให้การถ่ายทอดข้อมูลเอกสารมีความคล่องตัว สามารถเชื่อมไปยังจุดต่างๆ ของเอกสาร เพิ่มความน่าสนใจในการอ่านเอกสาร ใช้งานเอกสาร จนได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน

การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (Webpage) เป็นที่นิยมกันอย่างสูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะเข้าถึงกลุ่มผู้สนใจได้ทั่วโลก ตลอดจนข้อมูลที่นำเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ได้ทั้งข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนำเสนอที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW เติบโตเป็นหนึ่งในรูปแบบบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุดของระบบอินเทอร์เน็ต

ลักษณะเด่นของการนำเสนอข้อมูลเว็บเพจ คือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บได้ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นที่มาของคำว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถมากกว่าข้อความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเอง ตลอดเวลาที่มีการใช้งานนั่นเอง ด้วยความสามารถดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้ให้คำนิยาม Web ไว้ดังนี้

* The Web is a Graphical Hypertext Information System. การ นำเสนอข้อมูลผ่านเว็บ เป็นการนำเสนอด้วยข้อมูลที่สามารถเรียกหรือโยงไปยังจุดอื่นๆ ในระบบกราฟิก ซึ่งทำให้ข้อมูลนั้นๆ มีจุดดึงดูดให้น่าเรียกดู
* The Web is Cross-Platform. ข้อมูลบนเว็บไม่ยึดติดกับ ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) เนื่องจากข้อมูลนั้นๆ ถูกจัดเก็บเป็น Text File ดังนั้นไม่ว่าจะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ OS เป็นUNIX หรือ Windows NT ก็สามารถเรียกดูจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ OS ต่างจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่ายได้
* The Web is distributed. ข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์ เน็ตมีปริมาณมากจากทั่วโลก และผู้ใช้จากทุกแห่งหนที่สามารถต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลา ดังนั้นข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตจึงสามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกล
* The Web is interactive. การทำงานบนเว็บเป็นการทำงาน แบบโต้ตอบกับผู้ใช้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเว็บจึงเป็นระบบ Interactive ในตัวมันเอง เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้เปิดโปรแกรมดูผลเว็บ (Browser) พิมพ์ชื่อเรียกเว็บ (URL: Uniform Resource Locator) เมื่อเอกสารเว็บแสดงผลผ่านเบราว์เซอร์ ผู้ใช้ก็สามารถคลิกเลือกรายการ หรือข้อมูลที่สนใจ อันเป็นการทำงานแบบโต้ตอบไปในตัวนั่นเอง


ยุคของเว็บ 
Web1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น

ในยุคแรกเริ่มของเว็บไซต์ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงกลุ่มคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้งานเมื่อเทียบกับอัตราส่วนการใช้ งานอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน อาจจะมีสาเหตุมาจาก แหล่งเรียนรู้ที่ยังไม่เปิดกว้าง อุปกรณ์ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์และโมเด็มยังมีราคา แพง ผู้ให้บริการอินเตอร์เนตยังมีจำนวนน้อยและค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูง รวมไปถึงความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด ทำให้เวบไซต์ในยุคนั้นมีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่งเป็นส่วน ใหญ่

“Read-Only” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เวบไซต์กับผู้เข้าชมเวบไซต์ในยุค Web 1.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการตอบโต้ทางเดียวคือ เจ้าของเวบไซต์มีการผลิตเนื้อหาของเว็บไซต์ และผู้ที่ต้องการข้อมูลจะเข้าไปอ่านจากเวบไซต์หรือทำการค้นหาจาก Search Engine ซึ่งเป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บต่างๆเป็นส่วนใหญ่ ผู้เข้าชมเวบไซต์ส่วนใหญ่สามารถทำได้เพียงรับข้อมูลจากเนื้อหาของเวบไซต์แต่ ไม่มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นหรือมีการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของเวบไซต์กับ ผู้เข้าชมเวบไซต์ ถึงแม้ว่าในการพัฒนาต่อมาจะมีการนำกระดานข่าว (webboard) มาใช้เป็นแหล่งที่ให้ผู้เข้าชมเวบไซต์สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารกันได้ แต่กระดานข่าวยังไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการเข้า ชมจากผู้ชมเวบไซต์คนอื่น รวมไปถึงไม่มีการสนับสนุนหรือตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลสำหรับผู้เข้าชมเวบไซ ต์ ซึ่งข้อจำกัดต่างๆส่งผลให้มีการพัฒนาเวบไซต์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้เข้า ชมมากยิ่งขึ้นอันเป็นที่มาของยุค Web 2.0

ตัวอย่างลักษณะของเวบไซต์ในยุค Web 1.0 เช่น การสร้างเวบไซต์บน GeoCities ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฟรีโฮสติ้ง ซึ่งผู้เขียนต้องมีความรู้พื้นฐานในการทำเวบไซต์ และยากที่จะแบ่งปันเนื้อหาออกไป

Web2.0 ยุคแห่งการพัฒนาการและการเชื่อมโยง
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Human being is social animal)” คำกล่าวของอริสโตเติ้ล นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นการอธิบายถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่จะต้องมีการพึ่งพาอาศัยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อความอยู่รอดและเพื่อสร้างความสุข ความมั่นคงให้กับชีวิต สังคมจึงเป็นแหล่งรวมศูนย์ทางความคิดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา เพื่อแสวงหาคำตอบทุกๆอย่างให้กับตนเอง ซึ่งเหตุผลแห่งการที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม อีกทั้งยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความสุขและสะดวกสบายใจชีวิต จึงทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการพัฒนาและค้นหาหนทางต่างๆเพื่อตอบสนอง ความต้องการของตน ในโลกของเทคโนโลยีเวิลด์ไวด์เว็บ และการออกแบบเว็บไซต์ก็เช่นกัน การที่เวบไซต์แบบเดิมนั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการแสดงความคิดเห็น การโต้ตอบ หรือการเชื่องโยงและการสร้างเครือข่ายสังคม จึงทำให้มีการพัฒนาและปฏิวัติรูปแบบของเวบไซต์และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความต้องการมากขึ้น

ในยุคของ Web 2.0 ที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเล่นอินเตอร์เนตมีราคาถูกลง มีการส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เนตเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับ ยุคแรกๆ ที่อินเตอร์เนตยังไม่มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากนัก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการในการใช้งานส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีต้องมีการพัฒนาเวบไซต์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการและรอบรับการใช้ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“Read – Write” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เวบไซต์กับผู้เข้าชมเวบไซต์ในยุค Web 2.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการที่มีการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลผ่านเวบไซต์เพียงอย่างเดียว โดยผู้เข้าชมสามารถทำการแสดงความคิดเห็น หรือทำการสร้างเนื้อหา โดยไม่ต้องเป็นหนึ่งในทีมสร้างเนื้อหาหรือเจ้าของเวบไซต์ได้ อีกทั้งผู้เข้าชมยังสามารถกำหนดคุณค่าของเวบไซต์หรือบทความผ่านกระบวณการ ต่างๆ เช่นการให้คะแนนเนื้อหา การแนะนำบทความให้กับผู้อื่นเป็นต้น

รูปแบบหรือลักษณะโดยทั่วไปของเวบไซต์ในยุค Web 2.0 นั้นมีการพัฒนาให้มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ได้ง่ายขึ้นและมีความหลากหลายใน การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น เช่นผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิค , สามารถเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ของตนได้อย่างง่ายดาย, สามารถแบ่งปันข้อมูลไปยังเครือข่ายออนไลน์, สามารถแสดงความคิดเห็นและทัศนคติทำให้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดกว้างเป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Web 2.0 มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการสร้างสังคมที่มีความเกื้อหนุนกันทางด้านความรู้ และการรวมกลุ่มของเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการคิดร่วมกันโดยไม่ได้ นัดหมาย

WEB 2.0 นั้นมีคำจำกัดความหลายอย่าง ทิม โอไรล์ลีย์ ได้กล่าวไว้ว่าเว็บ 2.0 เปรียบเหมือนธุรกิจ ซึ่งเว็บกลายเป็นแพลตฟอร์มหนึ่ง ที่อยู่เหนือการใช้งานของซอฟต์แวร์ โดยไม่ยึดติดกับตัวซอฟต์แวร์เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา โดยมีข้อมูล ที่เกิดจากผู้ใช้หลายคน (ตัวอย่างเช่น บล็อก) เป็นตัวผลักดันความสำเร็จของเว็บไซต์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ในปัจจุบันมีลักษณะการสร้างโดยผู้ใช้ที่อิสระ และแยกจากกัน ภายใต้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกัน เพื่อสรรค์สร้างระบบให้ก่อเกิดประโยชน์ในองค์รวม โอไรล์ลีย์ ได้แสดงตัวอย่างของระดับของเว็บ 2.0 ออกเป็นสี่ระดับ ดังนี้
ระดับ 3 - ระดับของการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารของมนุษย์ภายใต้เว็บไซต์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น วิกิพีเดีย สไกป์ อีเบย์ เครกส์ลิสต์
ระดับ 2 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อนำมาใช้งานออนไลน์ นั้น จะมีประโยชน์มากขึ้นจากการเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน ซึ่งโอไรลลีย์ ยกตัวอย่างเว็บไซต์ ฟลิคเกอร์ เว็บไซต์อัปโหลดภาพที่มีการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างภาพ และเช่นเดียวกันระหว่างผู้ใช้งาน
ระดับ 1 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมีนำมาใช้งานออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ไรต์รีย์ (ปัจจุบันคือ กูเกิลดอคส์) และ ไอทูนส์
ระดับ 0 - ระดับที่สามารถใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น แมปเควสต์ และ กูเกิล แมปส์

ซึ่งแอปพลิเคชันหลายตัวที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอย่าง อีเมล เมสเซนเจอร์ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในลักษณะของเว็บ 2.0 แต่อย่างใด

โดยลักษณะที่เด่นชัดของเว็บ 2.0 นั้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว โดยรวมไปถึงการรวดเร็ว และการง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งบล็อกและเว็บที่ให้บริการอัปโหลดภาพถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของเว็บ 2.0 ที่ให้เห็นได้ทั่วไป ที่มีการให้บริการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้งานที่ง่าย โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด เห็นได้ว่าลักษณะของเว็บ 2.0 นั้นก่อให้เกิดการสร้างเนื้อหา ที่รวดเร็ว และมีการแบ่งปันข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยลักษณะของเว็บเปลี่ยนจากทางเน้นหนักทางด้านเทคนิค ไปในด้านข้อมูลข่าวสารแทนที่ และก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจต่อมา

ตัวอย่างลักษณะของเวบไซต์ในยุค Web 2.0 เช่น Wikipedia ซึ่งเป็นสารานุกรมออนไลน์หลายภาษาที่แจกจ่ายในลักษณะเนื้อหาเสรีที่ให้ผู้ ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และปรับปรุงเนื้อหาร่วมกันได้อย่างแทบไม่มีขีดจำกัด, flickr แหล่งออนไลน์ในการ “ฝากและแสดง” ภาพถ่ายดิจิตอล โดยมีการให้ใส่คำจำกัดความของรูปภาพหรือที่เรียกว่า “Tag” เพื่อเป็นตัวช่วยในการจัดระบบและการค้นหาข้อมูล, Blog เวบไซต์ส่วนตัวสำเร็จรูปที่ช่วยให้การเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ทำได้ อย่างง่ายดาย

Web3.0 ยุคแห่งโลกอนาคต

แนวโน้มในส่วนของ Web 3.0 ที่มีการกล่างถึงกันมากขึ้นในวงการไอทีนั้นยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมาก นัก เนื่องจากยังไม่มีการนิยามและตัวอย่างของเวบไซต์ออกมาให้เห็นกันอย่างชัดเจน เป็นเพียงแนวโน้มของการพัฒนาที่กลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องการพัฒนาเวบไซต์ใน อนาคตให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นเท่านั้น

แนวคิดของ Web 3.0 นั้นเป็นเหมือนกันนำ Web 2.0 มาทำการพัฒนาและต่อยอด โดยมีการปรับปรุงและแก้ไข Web 2.0 ให้ดีขึ้น เนื่องจากในยุค Web 2.0 นั้นผู้ใช้มีการสร้างเนื้อหาได้อย่างสะดวกและง่ายดายทำให้ มีจำนวนเนื้อหาจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น บล็อค, รูปภาพ, ไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อมาก็คือ ปัญหาในการค้นหาและเข้าถึงข้อมูล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาแนวคิดหรือวิธีการในการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบ และมีการเชื่อมโยงถึงกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและเข้าถึง โดยแนวคิดดังกล่าวนั้นเป็นที่มาของการพัฒนาไปสู่ยุค Web 3.0 นั่นเอง

“Read – Write – Execute” เป็นการคาดการณ์ลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เวบไซต์และผู้เข้าชมเวบไซต์ในยุค Web 3.0 ซึ่งมีลักษณะเป็นการที่ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และทำการจัดการเนื้อหาและปรับแต่งแก้ไขข้อมูลหรือระบบได้อย่างอิสระ หรือในอีกลักษณะหนึ่งของ Web 3.0 คือ “Read – Write – Relate” เป็นลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันมากขึ้นแทนที่จะเป็นเพียงข้อมูล ที่สามารถอ่านและเขียนได้เท่านั้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อมาคือเมื่อเราสามารถหาความสัมพันธ์และการเชื่อมโยง ข้อมูลต่างๆได้ ก็จะทำให้เราเข้าใจความหมายของเครือข่ายการเชื่อมโยงต่างๆมากขึ้น

รูปแบบหรือลักษณะโดยทั่วไปของเวบไซต์ในยุค Web 3.0 นั้นมีการกล่าวกันว่าเวบไซต์จะมีการพัฒนาให้กลายเป็น Semantic Web ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายของข้อมูลขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการค้นหาและเข้า ถึงได้อย่างรวดเร็วทำให้มีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการทำให้เวบไซต์มีลักษณะของ Artificial intelligence (AI) ซึ่งทำให้เวบไซต์สามารถตอบสนองผู้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาด คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น และสามารถแสดงข้อมูลเฉพาะส่วนที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้

ซีแมนติกเว็บ (Semantic Web) หรือ เว็บเชิงความหมาย คือ การพัฒนาการของเวิลด์ไวด์เว็บซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลและการบริการบนเว็บไซต์ โดยสร้างความเป็นไปได้ที่เว็บไซต์จะสามารถเข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้และเครื่องมือที่ใช้บรรจุลงในสารบัญเว็บไซต์ ซึ่งมีที่มาจากเวิลด์ไวด์เว็บคอนซอร์เทียม เซอร์ ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี มีทัศนคติเกี่ยวกับเว็บว่าเป็นแหล่งรวมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้

โดยแก่นแท้ซีแมนติกเว็บจะบรรจุไปด้วยเซ็ตของหลักของการออกแบบ การทำงานร่วมกัน และความหลากหลายของเทคโนโลยี พื้นฐานบางส่วนของซีแมนติกเว็บแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะรองรับกับเทคโนโลยีหรือสามารถนำมาใช้ได้จริงในภายภาคหน้า

ส่วนอื่นของซีแมนติกเว็บแสดงถึงลักษณะพิเศษ ซึ่งจะประกอบด้วย Resource Description Framework (RDF) ความหลากหลายของการสับเปลี่ยนของข้อมูล (เช่น RDF/XML, N3, Turtle, N-Triples) และเครื่องหมาย เช่น RDF Schema (RDFS) และ Web Ontology Language (OWL) ซึ่งสิ่งเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อเตรียมการถึงส่วนประกอบของการจำกัดความ กำหนดการ และความรู้ที่ได้รับ

มนุษย์สามารถใช้เว็บไซต์เพื่อจัดเก็บงาน เช่น การค้นหาคำว่า "ลิง" ในภาษาฟิน การจองหนังสือในห้องสมุด และการค้นหาราคาแผ่นดีวีดีที่ราคาถูกที่สุด อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้สำเร็จลุล่วงในงานเดียวกันได้หากปราศจากการควบคุมของมนุษย์ เพราะเว็บเพจได้ถูกออกแบบให้มนุษย์ใช้สำหรับอ่าน ไม่ใช่เครื่องจักรกล ซีแมนติกเว็บคือทัศนคติของข้อมูลที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นเราจึงแสดงถึงความยุ่งยากของงานซึ่งนำไปสู่การค้นหา การแบ่งปัน และการแบ่งส่วนของข้อมูลบนเว็บ

อย่างไรก็ดี ก้าวต่อไปของสื่อใหม่จะเป็นการเชื่อมโยง และผสมผสานดิจิตอลคอนเท็นต์เหล่านั้นเข้าด้วยกันที่เรียกว่า Mash Up อันเป็นพื้นฐานของเว็บ 3.0 ที่หมายถึงเว็บไซต์ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความฉลาดรู้ หรือ มี AI สามารถค้นหา และคาดเดาความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคนได้ อุปกรณ์ไอที Gadget ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นNotebook/Netbook Smart Phone MID (Mobile Internet Device) Digital Photo frame e-book หรือแม้แต่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Digital home appliance) จะได้รับการพัฒนาให้มีความฉลาดในการทำงานมากขึ้น ทั้งขนาด คุณสมบัติการทำงาน และราคา เช่น วันนี้เรามีวิทยุอินเทอร์เน็ตที่มีขนาดเล็กเท่าน้ำตาลก้อนในราคาไม่กี่ร้อย

นายประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช รองผู้จัดการทั่วไป บริษัทเอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มของเว็บไซต์ในปี 2552 ว่า มีการพูดถึงเว็บ 3.0 แต่ขณะนี้ยังไม่มีการให้คำจำกัดความว่าเว็บ 3.0 คืออะไร เนื่องจากหากพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีมากเกินไป จะเหมือนกับสมัยที่มีการพูดถึงเทคโนโลยีเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือว่านอกจากจะ ใช้พูดแล้วยังสามารถใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง จะมีตั้งแต่การส่งข้อมูล ส่งเอ็มเอ็มเอส และอื่นๆอีกมากมาย โดยในช่วงแรกผู้บริโภคยังไม่นิยมใช้บริการอื่นๆของโทรศัทพ์มือถือเนื่องจาก ผู้บริโภคเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่พอมีการพูดว่าโทรศัพท์มือถือให้บริการอยู่ 2 อย่างคือ ให้บริการเสียง คือการสื่อสารกันโดยการพูดคุย และบริการที่ไม่ใช่เสียง โดยบริการที่ไม่ใช่เสียงนั้นจะเป็นสิ่งที่สื่อสารกันโดยไม่ใช้คำพูดผ่านทาง โทรศัพท์มือถือ มีทั้งการส่งข้อความ หรือรูปภาพ โดยเรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าหากใช้คำจำกัดความที่ง่ายก็จะทำให้ เทคโนโลยีไปได้เร็วขึ้น

“เทคโนโลยีเว็บ 3.0 ที่พูดมาก่อนหน้านี้ว่าหลังจากไอแจ๊คแล้วยังมีอะไรอีก โดยสิ่งที่มองเว็บ 3.0 ในขณะนี้คือเว็บเซอร์วิส ชนิดหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเว็บจะเป็นเพียงข้อมูลให้คนดูในยุคแรก พอยุคต่อมาเริ่มมี 2 ทาง คนดูเริ่มเป็นผู้สร้างเนื้อหาได้ แล้วการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บก็เกิดขึ้น หรือที่เรียกว่าเซิร์สเอ็นจิ้น หรือการจับคู่ ต่อมาผู้ใช้เริ่มมีการให้ข้อมูลมากขึ้น เริ่มมีคำว่าแท็ก มีคำว่าคอมเม้นท์ มีการให้ความหมายเวลาใส่รูปในฟิกเกอร์ ถือสิ่งดังกล่าวเป็นการสอนให้ข้อมูลมีความหมายมากขึ้น และโลกได้ขยับจากการจับคู่คือเทียบคำมาสู่ความหมายของคำว่ามีนนิ่ง ในโลก 2.0 หากย้อนกลับไปดูข้อมูลมีนนิ่งเริ่มมีมาในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว อย่างในเว็บไซต์ซิกเกอร์ หรือ ดิ๊กดอทคอม โดยมีนนิ่ง ที่เห็นได้ทั่วไปคือข่าวที่คนให้ความสนใจมากที่สุด เวลาค้นหาโดยใช้มีนนิ่ง ผู้ค้นจะได้เรื่องที่ตนสนใจมากกว่าในอดีต เช่น การค้นหาข้อมูลในกูเกิลจะมีข้อมูลขึ้นมาให้มากมายแต่สิ่งที่ต้องการมีเพียง ไม่กี่รายการ” รองผจก.ทั่วไป บ.เอ.อาร์.ฯ กล่าว

นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เว็บ 3.0 จะเป็นเว็บที่คิดเองได้ หรือเว็บที่มี สมอง (เอไอ) มีการช่วยคิดในการค้นหาหรือใช้บริการ เช่น การไปเที่ยวญี่ปุ่น ผู้ใช้บริการสามารถพิมพ์ค้นหาคำว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น เว็บจะแสดงออกมาบอกว่าสามารถไปได้อย่างไรบ้าง เที่ยวบินไหน เช่าที่พักได้ที่ไหนบ้าง ถ้าผู้ใช้บริการเพิ่มข้อมูลเข้าไปว่าราคาถูกต่อท้าย เว็บจะเลือกเที่ยวบินที่ถูกที่สุดว่าเป็นเที่ยวบินอะไร ที่ไหน โดยเว็บจะบอกเลยว่าเป้าหมายที่ผู้ใช้บริการต้องการจะต้องทำอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เว็บ 3.0 ขณะนี้มีเว็บตัวอย่างอยู่บ้าง แต่ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเว็บ 3.0 มีเพียงประมาณ 100 เว็บไซต์ และเป็นเว็บไซต์ของต่างประเทศ

“เว็บ 3.0 ที่เป็นของไทยเองยังไม่มี แต่อาจจะมีเป็นงานวิจัยเล็กๆ ที่เป็นการวิจัยเฉพาะกลุ่มไม่ได้เหวี่ยงแห เป็นเซิร์สเอ็นจิ้นที่ทำได้ทุกอย่าง เพราะเราไม่ได้มีฐานข้อมูลมากเหมือนกูเกิล หรืออัลต้าวิสต้า อย่างไรก็ตาม อัลต้าวิสต้า เข้ามาในสนามของเว็บ 3.0 เร็ว เนื่องจากในสนามเซิร์สเอ็นจิ้น อัลต้าวิสต้าไม่สามารถแย่งขึ้นมาเป็น 3 อันดับแรก จากกูเกิล ยาฮู และเอ็มเอสเอ็นได้ เลยทิ้งจากสนามเซิร์ส และลงไปทำเว็บ 3.0 เพราะในอนาคตเว็บ 3.0 จะเป็นเทรนด์ของโลก อีกทั้งเว็บ 3.0 ได้มีการพูดถึงกันมาเป็นปีแล้ว แต่คาดว่าปี 51 จะเริ่มได้เห็นเว็บ 3.0 อย่างเป็นเรื่องเป็นราวแต่ยังไม่ใช่ของคนไทย เชื่อว่ากูเกิลจะเข้ามาในสนามของเว็บ 3.0 ด้วยเช่นกัน ส่วนคำว่าเว็บคิดเองได้ เป็นคำนิยามของผม เพราะมองว่าจาก แมชชิ่ง มีนนิ่ง ก็ต้องมาเป็นติ้งกิ้ง นั่นคือ 3 ยุคของเว็บในความคิดของผม และหากมองในแง่เทคโนโลยี คือ ไอแจ็ค แล้วก็มาเอไอ หรือ Artificial Intelligent ซึ่งจะมีคำว่าซีแมนทริกเว็บ” รองผจก.ทั่วไป บ.เอ.อาร์.ฯ กล่าว

นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การเข้ามาของเว็บ 3.0 จะช่วยคิด ช่วยตัดสินใจให้ผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากโลกในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น เวลาจะไปเที่ยวแต่ละครั้งต้องค้นหาสนามบินว่าที่ไหนราคาถูก เนื่องจากชีวิตของมนุษย์มีตัวเลือกมาก แต่เวลาเลือกจริงๆ จะเลือกเพียง 3 ตัวเลือกแรกเท่านั้น เหมือนการค้นหาข้อมูลในเว็บที่การค้นหาแต่ละครั้งจะได้ตัวเลือกเยอะ แต่เวลาเลือกจริงผู้บริโภคจะดูเพียง 3 อันดับแรก หรือเพียง 3 หน้าแรกเท่านั้น

รองผจก.ทั่วไป บ.เอ.อาร์.ฯ กล่าวด้วยว่า เว็บ 3.0 ไม่ได้จบที่เว็บสามารถคิดเองได้เท่านั้น แต่กำลังพูดถึงการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของผู้ประกอบการรายอื่นได้ง่ายขึ้น เหมือนขณะนี้ที่กูเกิลสามารถค้นหาด้วยระบบการพูด ที่ระบบจะทำการวิเคราะห์เสียง เป็นการเข้ารหัสหลายรูปแบบ โดยการเข้ารหัสใช้การผิวปากเพื่อต้องการหาชื่อเพลง 1 เพลงนั้นก็สามารถทำได้ และระบบจะนำข้อมูลเพลงมาวิเคราะห์หาแบบอย่าง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ระบบคิดได้ และชื่อเพลงที่เป็นไปได้จากการผิวปากก็จะขึ้นมาให้ผู้ใช้บริการเลือก และหากมองในเรื่องของการตลาดก็จะมีเรื่องของผู้ใช้ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น สื่อก็จะต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้บริโภคเป็น แต่จะกลับทางกันจากเดิมสื่อจะเป็นคนคิดว่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ที่จะนำมาเล่า ให้ผู้บริโภคฟัง โดยที่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต่อจากการโพสต์กระทู้เฉยๆ

นี่คือทิศทางของเทคโนโลยีเรื่องเว็บสื่อใหม่ในอนาคต ที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยขน์ในแง่ของความสะดวกในการเข้าถึงที่รวดเร็ว ตรงกับความต้องการมากกว่า สื่ออนาล็อกที่มีข้อจำกัดมากมายอย่างในอดีต และหากเว็บ 3.0 มีการใช้งานจริงใน คงทำให้การดำรงอยู่ในสังคมของผู้บริโภคที่มีแต่ความยุ่งยากซับซ้อนได้ตัดสิน ใจในสิ่งต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้น...

ตัวอย่างลักษณะของเวบไซต์ในยุค Web 3.0 เช่น Search Engine Google ที่เมื่อเราทำการสะกดคำที่ต้องการค้นหาผิด Google สามารถรู้ได้ว่าคำที่เราต้องการหาเป็นอะไร และทำการแสดงผลของคำที่เราน่าจะต้องการมาให้

บทสรุปของพัฒนาการของเวิลด์ ไวด์ เว็บ

ทิศทางและแนวโน้มของการพัฒนาเวบไซต์ในยุค 3.0 นั้นยังอยู่บนเส้นทางที่มีพัฒนาอีกยาวไกลและยังไม่มีจุดหมายที่แน่นอน มีการโต้เถียงในเรื่องความเป็นไปได้และข้อดีข้อเสียอีกมากมาย แต่อย่างน้อยพัฒนาการใหม่ของ เวิลด์ ไวด์ เว็บ ก็เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เครดิต http://pinkmonster-eiei.blogspot.com/